เมนู

มหาวรรคที่ 2


1. เวรัญชสูตร


[101] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้.
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ควงไม้สะเดา
ที่นเฬรุยักษ์สิงสถิต ใกล้กรุงเวรัญชา ครั้งนั้น เวรัญชพราหมณ์
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว
จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ท่านพระ-
โคดม ข้าพเจ้าได้ยินมาว่า พระสมณโคดมไม่ไหว้ไม่ลุกรับพวก
พราหมณ์ผู้แก่ ผู้เฒ่า ผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลำดับ หรือไม่
เชื้อเชิญด้วยอาสนะ ท่านพระโคดมข้อนี้เป็นเช่นนั้นจริง เพราะว่า
ท่านพระโคดมไม่ไหวไม่ลุกรับพวกพราหมณ์ ได้แก่ ผู้เฒ่า ใหญ่
ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลำดับ หรือไม่เชื้อเชิญด้วยอาสนะ ข้อนี้
ไม่สมควรเลย.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ ในโลก พร้อม
ทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์
เทวดาและมนุษย์ เราไม่เล็งเห็นบุคคลที่เราควรไหว้ ควรลุกรับ
หรือควรเชื้อเชิญด้วยอาสนะ เพราะว่าตถาคตพึงไหว้ พึงลุกรับ
หรือพึงเชื้อเชิญบุคคลใดด้วยอาสนะ แม้ศีรษะของบุคคลนั้นก็จะ
พึงขาดตกไป

ว. ท่านพระโคดม ไม่เป็นรสชาติ.
พ. ดูก่อนพราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดม
ไม่เป็นรู้ชาติ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบนั้น มีอยู่ เพราะรสในรูป
เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเหล่านั้น ตถาคตละได้แล้ว ตัดรากขาด
แล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำให้ไม่มี ไม่ให้เกิดอีกต่อไป
เป็นธรรมดา นี้แลเหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดม ไม่
เป็นรสชาติ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบ แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งหมายกล่าว.
ว. ท่านพระโคดมเป็นคนไม่มีโภคะ.
พ. ดูก่อนพราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาว่า พระสมณโคดม
เป็นคนไม่มีโภคะ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบนั้น มีอยู่ เพราะโภคะ
คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเหล่านั้น ตถาคตละได้แล้ว
ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้
เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา นี้แลเหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณ-
โคดมเป็นคนไม่มีโภคะ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบ แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่าน
มุ่งหมายกล่าว.
ว. ท่านพระโคดมเป็นคนกล่าวการไม่ทำ.
พ. ดูก่อนพราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณ-
โคดมเป็นคนกล่าวการไม่ทำดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบนั้น มีอยู่ เพราะ
เรากล่าวการไม่ทำกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เรากล่าวการ
ไม่ทำซึ่งธรรมที่เป็นบาปอกุศลหลายอย่าง นี้แล เหตุที่เขากล่าวหา
เราว่าพระสมณโคดมเป็นคนกล่าวการไม่ทำ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบ
แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งหมายกล่าว.

ว. ท่านพระโคดมเป็นคนกล่าวความขาดสูญ.
พ. ดูก่อนพราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะ
โคดมเป็นคนกล่าวความขาดสูญ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบนั้น มีอยู่
เพราะเรากล่าวความขาดสูญแห่งราคะ โทสะ โมหะ เรากล่าว
ความขาดสูญแห่งธรรมที่เป็นบาปอกุศลหลายอย่าง นี้แลเหตุที่
เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดม เป็นคนกล่าวความขาดสูญดังนี้
ชื่อว่ากล่าวชอบ ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งหมายกล่าว.
ว. ท่านพระโคดมเป็นคนช่างเกลียด.
พ. ดูก่อนพราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณ-
โคดมเป็นคนช่างเกลียด ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบนั้น มีอยู่ เพราะ
เรากล่าวการเกลียดกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เรากล่าว
การเกลียดความถึงพร้อมแห่งธรรมที่เป็นบาปอกุศลหลายอย่าง
นี้แลเหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมเป็นคนช่างเกลียด
ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบ แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งหมายกล่าว.
ว. ท่านพระโคดมเป็นคนกำจัด.
พ. ดูก่อนพราหมณ์. เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณ-
โคดมเป็นคนกำจัดดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบนั้น มีอยู่ เพราะเราแสดง
ธรรมเพื่อกำจัดราคะ โทสะ โมหะ แสดงธรรมเพื่อกำจัดธรรม
ที่เป็นบาปอกุศลหลายอย่าง นี้แลเหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระ-
สมณโคดมเป็นคนกำจัด ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบ แต่ไม่ใช่เหตุที่
ท่านมุ่งหมายกล่าว.

ว. พระโคดมเป็นคนเผาผลาญ.
พ. ดูก่อนพราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณ-
โคดมเป็นคนเผาผลาญ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบนั้น มีอยู่ เพราะเรา
กล่าวธรรมที่เป็นอกุศล คือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ว่าเป็น
ธรรมควรเผาผลาญ ธรรมที่เป็นบาปอกุศลซึ่งควรเผาผลาญ
อันผู้ใดละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำไห้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน
ทำให้ไม่มี ไม่ให้เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา เรากล่าวผู้นั้นว่าเป็น
คนเผาผลาญ ก่อนพราหมณ์ ธรรมทั้งหลายที่เป็นบาปอกุศลซึ่ง
เผาผลาญ ตถาคตละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือน
ตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา นี้แล
เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมเป็นคนเผาผลาญ ดังนี้
ชื่อว่ากล่าวชอบ แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งหมายกล่าว.
ว. ท่านพระโคดมเป็นคนไม่ผุดเกิด.
พ. ดูก่อนพราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณ-
โคดมเป็นคนไม่ผุดเกิด ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบนั้น มีอยู่ เพราะ
การนอนในครรภ์ การเกิดภพใหม่ อันผู้ใดละได้แล้ว ตัดราก
ขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดอีก
ต่อไปเป็นธรรมดา เรากล่าวผู้อื่นว่า เป็นคนไม่ผุดเกิด ดูก่อน
พราหมณ์ การนอนในครรภ์ การเกิดภพใหม่ ตถาคตละได้แล้ว
ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้
เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา นี้แลเหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณ-
โคดมเป็นคนไม่ผุดเกิด ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบ แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่าน

มุ่งหมายกล่าว ก่อนพราหมณ์ เปรียบเหมือนฟองไก่ 8 ฟอง
10 ฟอง หรือ 12 ฟอง ฟองไก่เหล่านั้น แม่ไก่กกดีแล้ว อบดีแล้ว
ฟักดีแล้ว บรรดาลูกไก่เหล่านั้น ลูกไก่ตัวใดทำลายกะเปาะฟอง
ด้วยเล็บเท้าหรือด้วยจะงอยปากออกมาได้โดยสวัสดีก่อนกว่าเขา
ลูกไก่ตัวนั้นควรเรียกว่ากระไร จะเรียกว่าพี่หรือน้อง.
ว. ท่านพระโคดม ควรเรียกว่าพี่ เพราะมันแก่กว่าเขา.
พ. ดูก่อนพราหมณ์ ฉันนั้นเหมือนกันแล บรรดาหมู่สัตว์
ผู้ตกอยู่ในอำนาจอวิชชา เกิดในฟอง อันกะเปาะฟองหุ้มห่อแล้ว
เราผู้เดียวเท่านั้นได้ทำลายกะเปาะฟอง คือ อวิชชา แล้วได้ตรัสรู้
อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก เราแลเป็นผู้เจริญที่สุด ประเสริฐ
ที่สุดของโลก เพราะเราปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน ดำรงสติ
มั่นไม่ฟั่นเฟือน กายสงบไม่กระสับกระส่าย จิตดำรงมั่นเป็น
เอกัคคตา เรานั้นแล สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก
มีวิจาร มีปีติ และสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เราบรรลุทุติยฌานมีความ
ผ่องใสแห่งจิต ณ ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มี
วิจาร เพราะวิตก วิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เรามี
อุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ และเสวยสุขด้วยนามกาย เพราะ
ปีติสิ้นไป บรรลุตติฌานที่พระอริยทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้
ฌานนี้ เป็นผู้มีสติอยู่เป็นสุข เราบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่
มีสุข. เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสก่อน ๆ ได้ มีอุเบกขา
เป็นต้นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์
ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อนควรแก่การงาน ตั้งมั่น

ไม่หวั่นไหวอย่างแล้ว จึงโน้มน้อมจิตไปเพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ
เรานั้นย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้หนึ่งชาติบ้าง
สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติ
ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง
ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดวัฏฏกัปเป็นอันมาก
บ้าง ตลอดวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัป
เป็นอันมากบ้าง ว่าในภพโน้นเรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น
มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้น ๆ
มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดใหญ่
โน้น เราก็มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น
เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้น ๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้น
จุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เราย่อมระลึกชาติก่อนได้
เป็นอันมาก พร้อมทั้งอุเทศ พร้อมทั้งอาการ ด้วยประการฉะนี้
ดูก่อนพราหมณ์ วิชชาที่หนึ่งนี้แล เราได้บรรลุแล้วในปฐมยาม
แห่งราตรี อวิชชาเรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิดแก่เราแล้ว ความ
มืดเรากำจัดได้แล้ว แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่
บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส ส่งจิตไปแล้วอยู่ ฉะนั้น
ความชำแรกออกครึ่งหนึ่งของเรานี้แล เป็นเหมือนการทำลาย
ออกจากกะเปาะฟองแห่งลูกไก่ ฉะนั้น.
เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส
ปราศจากอุปกิเลส. อ่อนควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว
อย่างนี้แล้ว จึงโน้มน้อมจิตไปเพื่อญาณเครื่องรู้จุติและอุปบัติของ

สัตว์ทั้งหลาย เรานั้นย่อมเล็งหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ
เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วย
ทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็น
ไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต
มโนทุจริต ติเตียนพระอริยะเจ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำ
ด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ สัตว์เหล่านั้น เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงอบาย
ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริต
วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยะเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ
ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ สัตว์เหล่านั้น เมื่อตายไป
ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เราย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ
กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี
ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัด
ซึ่งหมู่สัตว์ซึ่งเป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ ดูก่อนพราหมณ์
วิชชาที่สองนี้แล เราได้บรรลุแล้วในมัชฌิมยามแห่งราตรี อวิชชา
เรากำจัดได้แล้ววิชชาเกิดแก่เราแล้ว ความมืดเรากำจัดได้แล้ว
แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มี
ความเพียรเผากิเลส ส่งจิตไปแล้วอยู่ ฉะนั้นความชำแรกออก
ครั้งที่สองของเรานี้แล เป็นเหมือนการทำลายออกจากกระเปาะฟอง
แห่งลูกไก่ ฉะนั้น.
เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส
ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว
อย่างนี้แล้ว จึงโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ เรานั้นรู้ชัด

ตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อ
ปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เหล่านี้อาสวะ นี้เหตุให้เกิดอาสวะ
นี้ความดับอาสวะ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ เมื่อเรารู้เห็น
อย่างนี้ จิตหลุดพ้นแล้วแม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จาก
อวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว จึงเกิดญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว
และรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ
ได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดูก่อนพราหมณ์
วิชชาที่สามนี้แล เราได้บรรลุแล้วในปัจฉิมยานแห่งราตรี อวิชชา
เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิดแก่เราแล้ว ความมืดเรากำจัดได้แล้ว
แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มี
ความเพียรเผากิเลส ส่งจิตไปแล้วอยู่ ฉะนั้น ความชำแรกออก
ครั้งที่สามของเรานี้แล เป็นเหมือนการทำลายออกจากกะเปาะฟอง
แห่งลูกไก่ ฉะนั้น.
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว เวรัญชพราหมณ์
ได้กราบทูลว่า ท่านพระโคดมเป็นผู้เจริญที่สุด ท่านพระโคดม
เป้ฯผู้ประเสริฐที่สุด ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์
แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระแจ่มแจ้งนัก
พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนบุคคล
หงายของของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือ
ส่องประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป ฉะนั้น
ข้าพระพุทธเจ้านี้ขอถึงท่านพระโคดม กับทั้งพระธรรมและพระ-

ภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระองค์โปรดทรงจำข้าพระพุทธเจ้าว่า
เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป.
จบ เวรัญชสูตรที่ 1

มหาวรรคที่ 2


อรรถกถาเวรัญชสูตรที่ 1


มหาวรรคที่ 2

เวรัญชสูตรที่ 1 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
พึงประกอบบทมีอาทิอย่างนี้ว่า อภิวาเทติ กับ อักษร
ที่กล่าวไว้ในบทนี้ว่า น สมโณ โคตโม แล้วทราบโดยความอย่างนี้ว่า
พระสมณะโคดม ไม่ไหว้ ไม่ลุกขึ้นจากอาสนะ ทั้งไม่เชื้อเชิญ
ด้วยอาสนะอย่างนี้ว่า เชิญท่าน โปรดนั่งตรงนี้. ก็ วา ศัพท์ใน
คำว่า อภิวาเทติ วา เป็นต้น ลงในอรรถชื่อว่า วิภาวนะ ทำให้ชัด
เหมือน วา ศัพท์ในประโยคเป็นต้นว่า รูปํ นิจฺจํ ว่า อนิจฺจํ วา
รูปเที่ยง หรือว่า ไม่เที่ยง. เวรัญชพราหมณ์ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว
พอเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงทำการกราบตน เป็นต้น จึงกล่าวว่า
ตยิทํ โภ โคตม ตเถว ท่านพระโคดม ข้อนั้นเป็นจริงอย่างนั้น.
อธิบายว่า สิ่งที่ข้าพเจ้าได้ยินมานั้น เป็นอย่างนั้นจริง. การได้ยิน
มาและการได้เห็นนั้นเข้ากันสมกัน โดยความหมาย ก็คือ เป็น
อย่างเดียวกัน. ก็ท่านพระโคดม ฯลฯ ย่อมไม่เชื้อเชิญด้วยอาสนะ.
เวรัญชพราหมณ์กล่าวย้ำเรื่องที่ตนได้ฟังกับสิ่งที่เห็น จึงกล่าวติเตียน